เริ่มเป็นช่างทอง
วิชาช่างเดินถึงกัน
บันไดดังกล่าว หมายถึงบันไดเดินขึ้นชั้นสองตรงมุมห้องซ้ายมือ พื้นที่ตรงนั้นจำกัดมาก ของเดิมทำแบบขึ้นรวดเดียวไม่มีที่พัก จึงค่อนข้างชัน หมอสูนเกรงว่าลูกอาจจะตกลงมาตายได้ จึงแก้ไขดัดแปลงเสียเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๐ กว่า ๆ ใต้บันไดมีแคร่ ๑ ตัว ลุงสมัครใช้เป็นที่นั่งนอนอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ ยามใดที่ลูกค้ามาก็ลุกขึ้นต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ยามใดที่ไม่มีใครมาก็อ่านหนังสือต่อไปแทบทั้งวัน
ใกล้ ๆ กับแคร่ก็คือโต๊ะที่ผมเคยเอ่ยถึง โต๊ะนั้นมีลิ้นชักด้วย ลุงสมัครบรรยายคุณลักษณะพิเศษว่าหมอสูนเข้าปากไม้ได้สนิทจนแม้แมลงสาบก็เข้าลิ้นชักไม่ได้ ขาสี่เหลี่ยมมีบัว มีลูกแก้วพร้อม ช่างไม้หลายคนมาเห็นเข้าถึงกับออกปากเหมือนกันหมดว่าถ้าใครมาจ้างให้ทำแบบนี้แทบไม่อยากรับทำ เพราะยากกว่ากลึงเป็นขากลม ๆ หลายเท่า ต้องประจงแต่งทีละด้านให้ได้ขนาดเท่ากันหมด ถ้าทำด้านใดด้านหนึ่งผิดไปสักด้านก็เสียหมด ต้องตั้งต้นทำใหม่อีก ยังตัวลวดลายอีกเล่า ก็ต้องให้ตรงกันเป็นพิมพ์เดียว ไม่ใช่ทำเกลี้ยง ๆ อย่างเดียว นับเป็นงานเสียเวลาและประดิษฐ์ประดอยอย่างล้นเหลือ ต้องได้คนใจเย็นจริง ๆ จึงจะทำได้ การทำขากลม เพียงแต่ประคองสิ่วจ่อไม้ให้เที่ยง เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ
ลุงสมัครกล่าวถึงความสามารถทางช่างของพ่อต่อไปอย่างน่าฟังว่า
“พ่อกล่าวว่าวิชาช่างนั้นเดินถึงกัน เมื่อเป็นช่างไม้ก็มีส่วนช่วยให้เป็นช่าวเหล็ก ช่างหิน ฯลฯ ตลอดจนช่างทองได้ง่ายขึ้น เครื่องเหล็กที่พ่อชอบทำก็คือมีดรูปแปลก ๆ ประดิษฐ์ด้ามด้วยเขาควายบ้าง เขากวางบ้าง ไม่ซ้ำแบบกันแล้วเอาไม้มาทำฝัก สวมเข้ากันสนิทแน่นไม่แคลนคลอน พ่อเคยให้มีดด้ามเขากวาง ๒ กิ่งแก่เพื่อนรักของพ่อไปเล่มหนึ่ง ไม่กี่วันเพื่อนมาบอกว่าพ่อทำได้ถูกใจอย่างยิ่งแต่ต้องซ่อนเสียแล้ว พวกพ่อค้าข้างหลายต่อหลายคนมาเห็นเข้ารบเร้าจะซื้อจนรำคาญ เขาว่าแปลกอย่างเอก เห็นจะหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ขอซื้อไปไว้ประจำตัวเถิด จะคิดเท่าไรก็ว่ามา
เครื่องหินพ่อก็ทำได้ โดยเฉพาะหินบดยา ทำไว้หลายชุด เคยทำโกร่งด้วยหินแดงเนื้อละเอียดไว้ ๒ ชุด เป็นทรงกลมป้อมคล้ายส้มโอ มีปากยื่นตรงร่องสำหรับรินน้ำและมีขาแบบจมูกสิงห์อีกด้วย พ่อคิดแบบขึ้นเอง เข้าใจว่าจะยังไม่มีใครทำมาก่อน
พ่อศึกษาวิชาใดแล้วก็ไม่ยอมทอดทิ้ง มีเวลาว่างก็หาความรู้ในวิชานั้นเพิ่มเติมอยู่เสมอ เมื่อมาอยู่ใกล้อาจารย์ปั่นก็ศึดษาวิชาแพทย์อีก ทไให้รู้จักตำรายาและเครื่องยาตลอดจนลักษณะของโรคต่าง ๆ ขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนบวช เพราะได้รับคำแนะนำจากท่านอาจารย์อยู่บ่อย ๆ ได้จดบันทึกความรู้ไว้เมากมาย”
พี่สาวเจ็บ สึกจากพระไปเฝ้าพี่สาว กลับราชบุรี
พระสูนบวชอยู่ ๓ พรรษา เป็นที่ถูกอัธยาศัยของอาจารย์ปั่นมากจนไม่อยากให้พระสูนสึก เพราะได้เป็นกำลังในการทำงานแทบทุกอย่าง จะให้พระสูนช่วยอะไรก็สามารถทำได้หมด เรียกว่าเป็นคนรู้งานและรักงานโดยแท้ ทว่าวาสนาที่จะอยู่ในผ้าเหลืองคงมีเพียงแค่นั้น เพราะไม่ช้าเหตุการณ์ข้างหน้าก็บังคับให้ต้องสึก
วันหนึ่งพระสูนได้รับข่าวจากน้อย ผู้เป็นพี่สาวว่าเจ็บหนักกว่าทุกคราว ขอให้ไปอยู่ดูใจเป็นครั้งสุดท้ายด้วย เมื่อเข้ากรุงเทพฯ ไปเยี่ยมโยมพี่ด้วยความเป็นห่วง ก็พบว่าโยมพี่ผอมจนผิดรูปกลายเป็นคนละคน พระสูนเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ มานั่งไตร่ตรองดูเห็นว่าจะเฝ้าพี่สาวทั้ง ๆ ที่ตนยังอยู่ในสมณเพศก็ดูเป็นการไม่สมควร จึงตัดสินใจสึกออกไปพยาบาล กระทั่งพี่สาวถึงแก่กรรม ทิดสูนจึงกลับมาอยู่กับนางจันทร์ผู้เป็นมารดาที่ราชบุรีดังเดิม
เข้ากรุงเทพฯ อีก ฝึกหัดเป็นช่างทอง
ระยะนั้นอาชีพช่างทองกำลังเฟื่องฟู ชาวราชบุรีนิยมหัดเป็นช่าวทองกันมากทั้งชายหญิง แต่ก็นั่นแหละ ช่างทองบ้านนอกมักทำได้แต่เครื่องประดับแบบโบราณ เช่น สายสร้อยสมอ แหวนพิรอด กำไลมังกร และเสมาเป็นต้น ถ้าใครจะหัดทำของแบบใหม่ก็ต้องเข้าไปฝึกหัดกับครูในกรุงเทพฯ
นายสูนเป็นคนรักรู้ และรักจะเรียนทางการช่าง เมื่อเห็นว่าอาชีพช่างทอง อาจทำให้ตนมีอยู่มีกินได้ก็กลับเข้าไปหาความรู้ในกรุงเทพฯ อีก
ณ ที่นั้นนายสูนได้ไปหัดวิชาทำทองกับครูคนหนึ่งชื่อครูแหล บ้านอยู่ใกล้วัดแก้วฟ้าล่าง ย่านสี่พระยา (วัดแก้วฟ้าบนคือวัดแก้วฟ้าจุฬามณี ย่านเกียกกาย) นายสูนมีความรู้ทางช่างไม้ช่างเหล็กเป็นทุนดีอยู่แล้วจึงเรียนวิชาช่างทองได้ง่าย อีกประการหนึ่ง ไม่แต่เข้าใจงานได้เร็ว หากยังรู้จักตีสิ่วรูปแปลก ๆ ขึ้นไว้สลักรูปพรรณต่าง ๆ ให้เหมาะกับงานที่จะทำอีกด้วย ทำให้งานเรียบร้อยรวดเร็วเป็นพิเศษ และครูก็ชมเชยในสติปัญญาเป็นอันมาก
วันหนึ่ง นายสูนทำจี้ฝังทับทิมอันหนึ่งเสร็จแล้วก็ใช้สิ่วแกะชันที่หุ้มอยู่ออก แต่บังเอิญพลาดไปโดนห่วงที่ติดไว้สำหรับเกี่ยวระย้าห่วงหนึ่งขาดไป จะบัดกรีให้ติดใหม่ก็ไม่ได้ เพราะทับทิมที่ฝังไว้อาจโดนความร้อนจนเสียหมด
ครูแหลบอกให้ทุบทับทิมทิ้งให้หมด บัดกรีห่วงให้เสร็จแล้วจึงค่อยฝังกันใหม่ นายสูนเห็นว่าอาจขาดทุนค่าทับทิม และอาจไม่ทันเวลาที่นัดเจ้าของมารับ จะขอลองแก้ด้วยวิธีใหม่คือใช้เข็มจุ่มน้ำมันเจาะตัวจี้ทางตะแคงจนทะลุตรงติดห่วงนั้น แล้วใช้ทองชักเป็นเส้นลวดเข้าทางรูที่เจาะ ไปหักเป็นห่วงที่ปลายทาง แล้วกวดที่รูต้นทางให้เข้ากับตัวจี้จนสนิทไม่เห็นแผล เมื่อทำสำเร็จด้วยวิธีที่คิดขึ้นเองนี้ ครูก็ชมเชยในปฏิภาณและความพากเพียนสุขุมรอบคอบเป็นอันมาก ได้มอบงานแปลก ๆ ยาก ๆ ให้ทำข้ามลำดับที่คนอื่นเคยหัดกันมาโดยเร็ว
นายสูนเรียนกับครูแหล ๓ เดือน สามารถทำสร้อยข้อมือประดับเพชร โดยคิดแบบพลิกแพลงให้แปลกกว่าของเก่าซึ่งเห็นกันเจนตา ครูแหลเห็นแล้วต้องใจสนับสนุนให้ทำต่อไป แต่พอทำเสร็จเพียง ๑ ข้อมือก็ได้รับโทรเลขจากราชบุรี
กลับราชบุรี ไฟไหม้ราชบุรี
เป็นโทรเลขจากนางจันทร์ สั่งให้ลูกชายกลับราชบุรีทันทีเพราะศรี น้องสาวของนายสูนเกิดเป็นไข้ทรพิษขึ้นมา ต้องมีคนไปช่วยพยาบาล นายสูนต้องลาครูกลับโดยด่วน ครูแหลเสียดายมาก บ่นว่าสร้อยอีกข้อมือหนึ่งจะได้ใครทำ จึงจะมีฝีมือทัดเทียมกัน เมื่อเสร็จธุระแล้วขอให้รีบกลับมาช่วยทำต่อ
แต่นายสูนก็หาได้กลับไปหาครูแหลอีกไม่ เพราะหลังจากเฝ้าพยาบาลน้องสาวจนทุเลาแล้ว ก็เกิดเหตุใหญ่ ไฟไหม้ตลาดราชบุรีครั้งใหญ่ นายสูนต้องจูงแม่และอุ้มน้องสาวหนีไปอยู่กลางทุ่ง จากนั้นจึงย้อนกลับมาขนของที่บ้านซึ่งก็เหลือของให้ขนน้อยเต็มที
นายสูนต้องเป็นผู้นำครอบครัว ต้องหาที่อยู่ใหม่ คราวนี้ย้ายมาอยู่ติดกับบ้านนายสำเภา บุญชู ช่างแก้นาฬิกา ปืน ตะเกียงลาน ฯลฯ ฝีมือเยี่ยมของราชบุรี ใกล้บ้านนายแช่ม สัมพันธารักษ์ ทนายความชื่อดังของลุ่มแม่น้ำแม่กลองอยู่ถัดจวนเทศาภิบาลมณฑลราชบุรี (ตึกสำนักวัฒนธรรมหญิงราชบุรี) ลงมาหน่อยหนึ่ง ที่อยู่ใหม่ดังกล่าวไม่ใช่ตึกร้านขายยาดังที่เห็นในปัจจุบัน ตึกร้านขายยาที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นตึกที่ย้ายมาอยู่อีกทีในเวลาต่อมา
เปิดร้านทำทอง
อัคคีภัยทำให้ครอบครัวแทบหมดเนื้อประดาตัว คราวนี้ทำอย่างไรจึงจะสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาใหม่ได้ นายสูนก็ต้องเปิดร้านทำทองขึ้นด้วยความรู้ที่เพิ่งไปเรียนมาเพียง ๓ เดือน พอจะรู้วิธีสลัก ฝังเพชรพลอย ขึ้นรูปจี้ รูปแหวน แต่ก็ยังไม่รู้จักวิธีทำเครื่องประดับทุกรูปแบบ ใครจะจ้างทำสิ่งอันใดก็ต้องหาตัวอย่างมาให้ดูก่อน จากนั้นนายสูนจึงค่อยคิดหาวิธีทำเอาเอง เรียกว่าเป็นการใช้ไหวพริบ ความมานะอดทน และวิจารณญาน รู้จักว่าอย่างไรสวย อย่างไรไม่สวยซึ่งไม่อาจสอนกันได้ การเห็นตัวอย่างสำเร็จรูปแล้วทำตามอย่างนั้น จะว่าง่ายก็ไม่ใช่เสียเลยทีเดียว ถ้าเดาวิธีทำผิดก็อาจไม่ได้รูปที่ต้องการ แต่โดยมากนายสูนมักทำถูกวิธีเสมอ หากจะแผลงออกไปก็มักดีกว่าเดิม
ลุงสมัครยกตัวอย่างว่าแหวนตราหัวแบนใหญ่ แกะเป็นรูปสิบสองนักษัตรประจำปีเกิดที่ผู้ชายเริ่มนิยมสวมกันในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีคนนำตัวอย่างมาจ้างให้นายสูนทำ นายสูนพยายามคิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไร ลองตีหัวให้แบนก็เปลืองทองมาก และไม่ได้ส่วนเหมือนตัวอย่าง จึงลองตีเป็นรูปแหวนธรรมดาหัวเล็ก ๆ ก่อน แล้วตัดก้านเหยียดตรงออกไป เอาสิ่วผ่าหัวแหวนให้แบะออก จับก้านทบเข้ามาก็ได้รูปแหวนตราทันที เป็นอันสำเร็จ ใครมาจ้างทำก็ทำวิธีนี้เรื่อยมา ทำได้วันละ ๔ วง คิดค่าจ้างวงละ ๖ บาท ซึ่งนับว่าสูงมากในสมัยนั้น แต่แม้กระนั้นก็มีคนมารุมจ้างจนทำไม่ทัน ต้องจองล่วงหน้าตั้งเดือน
เรื่องแหวนสิบสองนักษัตรนี้ ต่อมาช่างทองคนหนึ่งคือนายรอด ซึ่งได้ไปเรียนวิชากับครูแหลเหมือนกัน พอครูแหลถึงแก่กรรม (หลังจากนายสูนกลับราชบุรีไม่ถึงปี) นายรอดกลับมา เห็นนายสูนทำแหวนสิบสองนักษัตรเข้าก็บอกว่าที่เขาเรียนมาใช้หล่อเอาทั้งนั้น
วิธีหล่อคือเอาแหวนตราที่ทำเป็นแม่พิมพ์ด้วยทองแดงกดลงบนลิ้นทะเล แต่งจนได้ที่แล้วก็หลอมทอง เทลงตามรอยนั้น แล้วนำมาแต่งอีกที ตรงไหนเป็นรูพรุนก็ปะเอา
นายสูนฟังแล้วท้าให้ลองทำแข่งกัน ปรากฏว่าวิธีตีขึ้นรูปของนายสูนเสร็จก่อนเพราะไม่ต้องเสียเวลาแต่งแม่พิมพ์ ไม่ต้องนั่งซ่อมทองที่โหว่ และเวลาชักเงาแล้ว แหวนที่ตีเนื้อแน่นกว่าย่อมมีเงาดีและทนกว่าแหวนแบบหล่อ (อ่านต่อฉบับหน้า)
ใส่ความเห็น