บึษบาคุณพุ่ม

บุษบาท่าเรือจ้าง สตรีผู้อยู่นอกกรอบประเพณี

ในสมัยที่คุณสมบัติสำคัญของสตรีอยู่ที่ความงดงาม ความมีกริยามารยาทเรียบร้อย

สงบเสงี่ยม วาจาอ่อนหวาน ละมุนละไม เชี่ยวชาญการบ้านการเรือน หากมีครอบครัว ก็จะต้องเก่งการปรนนิบัติ และเชื่อฟังอยู่ในโอวาทของสามี จึงจะได้รับการยกย่องด้วยถ้อยคำไพเราะต่างๆ เช่น แม่ศรีเรือน นางแก้วเบญจกัลยาณี หรืออื่นๆ แล้วแต่จะเสกสรรขึ้นมาเพื่อ มอมเมาประเล้าประโลมให้สตรีคงคุณสมบัติเช่นนี้ตลอดไป หากขาดคุณสมบัติเช่นที่ว่าก็จะต้องถูกประณามหยามเหยียด ถูกนินทาว่าร้ายจนอาจถึงขั้นสังคมไม่ยอมรับ

ดังนั้น หากจะมีสตรีคนใดกล้าหาญที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้ ผิดแผกแตกต่างจากครรลองที่สังคมสมัยนั้นกำหนด สตรีผู้นั้นก็จะต้อง มีคุณสมบัติพิเศษ คือความมั่นใจในตนเอง ความมั่นใจในตนเองอาจเกิด จากความสามารถพิเศษเฉพาะตัว หรือฐานะทางครอบครัวค้ำจุนอุดหนุน

จนไม่ต้องสนใจกับสังคม ดังเช่นการประพฤติปฏิบัติตัวของ คุณพุ่ม หรือสมญาที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง”

คุณพุ่ม เกิดในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นธิดาพระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้งนั้นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ยังเป็นเพียง จางวางภู่ ข้าหลวงคนสนิทรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เป็นที่โปรดปราน

ครั้นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ จางวางภู่ก็ได้ติดตามรับใช้สนองพระเดชพระคุณใกล้ชิดเป็นที่ไว้วาง พระราชหฤทัย ดังจะเห็นได้จากการที่โปรดพระราชทานบ้านที่ท่าพระ ซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของสุนทรภู่ กวีเอกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ให้เป็นที่อยู่ของจางวางภู่ เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดในพระบรมมหาราชวังเรียกใช้ได้สะดวก จางวางภู่จึงอุทิศบ้านเดิมสร้าง เป็นวัดน้อมเกล้าถวายเป็นพระอารามหลวง ซึ่งก็โปรดพระราชทาน นามวัดนั้นว่า วัคคฤหบดีอาวาส อันมีความหมายว่าเป็นวัดของผู้มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย จากหลักฐานนี้แสดงให้เห็นทั้งฐานะและการเป็นข้าราชสำนักที่ใกล้ชิดเป็นที่โปรดปรานของพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ได้เป็นอย่างดี

การที่บิดาเป็นทั้งผู้มีฐานะและเป็นคนโปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดิน มีผลให้คุณพุ่มธิดาสาวซึ่งมีคุณสมบัติเฉพาะตัวอยู่แล้ว คือ มีความงามเป็นที่เลื่องลือและยังมีความสามารถในการแต่งบทสักรวาเป็นเยี่ยม จึงเป็นสตรีที่มีบุคลิกพิเศษ มั่นใจในตนเองสูง จริตกิริยา และความคิดอ่านแตกต่างจากสตรีร่วมสมัยทั้งปวง คือไม่ยอมอยู่ในวงกรอบของสังคมและประเพณี ถือการตามใจตนเองเป็นใหญ่

ดังเช่นเมื่อบิดานำคุณพุ่มถวายตัวเข้ารับราชการเป็นข้าราชสำนักฝ่ายใน คุณพุ่มได้เป็นเจ้าพนักงานพระแสง แต่ด้วยอุปนิสัยรักความอิสระเสรี ไม่ชอบอยู่ในกรอบประเพณี จึงกราบถวายบังคมลากลับบ้าน อ้างว่าไม่สบาย เมื่อมาอยู่บ้านก็มักคบหาสมาคมสนิทสนมกับผู้ที่นิยม ชมชอบในเชิงกวีด้วยกัน ซึ่งโดยมากก็มักจะเป็นบุรุษเพศที่อยู่ในวงสังคมชั้นสูง มีทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชสำนัก เสนาบดี ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวคือความงามและความเก่งกล้าสามารถในเชิงกวี อีกทั้งมีคารมคมคาย ปฏิภาณ และความกล้าในการโต้ตอบได้อย่างเผ็ดร้อนและเฉียบคมไม่กลัวเกรงผู้ใด ดังเช่นครั้งที่บอกสักรวาตอบโต้กับ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ ซึ่งทรงเป็นนักเพลงยาวและสักรวาชั้นยอดในสมัยนั้น กรมหลวงภูวเนตรฯ ทรงใช้คารมมีความหมาย ๒แง่ เป็นการยั่วเย้าคุณพุ่มว่า

     “สักรวาวันนี้ที่สังเกต

เหมือนพุ่มพวงดวงเนตรของเชษฐา

มิได้เล่นลับลี้หลายปีมา…”

จึงถูกคุณพุ่มตอกกลับทันควันเป็นถ้อยคำที่มีความหมายรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงยศศักดิ์จนเป็นที่จดจำของผู้ได้ยินมาแสนนานว่า

 “สักรวาน่าจะโห่ให้เรือล่ม

                         นี่ฤๅกรมภูวเนตรฯ เศษสวรรค์

                      เอานายทิมเข้ามาทวนพอควรกัน

                     เหมือนย่างหั่นใบขี้เหล็กให้เด็กตำ…”

ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของคุณพุ่มจึงขจรขจายเป็นที่ติดใจของนักเลง กลอนที่จะต้องเวียนวนมาเพื่อต่อคารม หาความสุขสนุกเพลิดเพลิน และรสชาติหวานเปรี้ยวเผ็ดร้อนจากคารมที่เฉียบคมทันกันในจำนวนบุรุษเพศที่เวียนวนมา ณ แพท่าพระนี้ มีพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นกรมขุนอิศเรศรังสรรค์และ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เมื่อครั้งยังเป็นหลวงนายสิทธิ์ รวมอยู่ด้วย

เล่ากันว่า จากการที่ใช้สักรวาเป็นสื่อแห่งไมตรีนั้น กรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นผู้ที่คุณพุ่มให้ความสนิทสนมด้วยอย่างเปิดเผย และเมื่อเล่น สักรวาเรื่องอิเหนา ผู้ว่าสักรวาบทอิเหนาก็คือกรมขุนอิศเรศฯ และผู้ว่าบท บุษบาก็คือคุณพุ่ม สมญาบุษบาท่าเรือจ้างจึงน่าจะมาจากการ เล่นสักรวาบทนี้

ด้วยเหตุที่คุณพุ่มเป็นสตรีที่ไม่ได้ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบประเพณีของสตรีในสมัยนั้น จึงมักมีเรื่องลือลั่นให้คนได้กล่าวขวัญถึง เสมอ ดังเช่นเรื่องที่เข้าแย่งพระแสงดาบจากกรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่และเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่สตรีใดจะกระทำ เพราะพระแสงดาบนั้นเป็นของสูงประจำพระองค์ มิใช่สิ่งที่ผู้ใดจะมาล่วงละเมิดโดยเฉพาะเป็นสตรี แต่คุณพุ่มก็ได้ทำ จึงเป็นที่โจษจันเล่าขานกันไม่จบสิ้น จนแม้เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ สวรรคตไปนานกว่า ๑๐ ปีก็ยังมีผู้ขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึง คือ ครั้งฉลองวัดบรมวงษ์อิศรวราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ เป็นสักรวาเล่นถวายหน้าพระที่นั่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมื่นนิพนธ์พจนนาดด์ (ดิศ) ตำแหน่งอาลักษณ์, เป็นผู้ว่าสักรวาบทนี้ ความว่า

               สักรวาปันหยีครูเจ้าชู้ใหญ่

แลเห็นไก่แพ้วิ่งนึกกริ่งจิต

อุณากรรณคนนี้เคยมีฤทธิ์

เมื่อครั้งติดสักรวาที่ท่าช้าง

แต่ยังสาวคราวเป็นบุษบา

               ยังเช้าคร่าดาบอิเหนาเอามาบ้าง

              อิเหนาเก่งนักเลงแพ้ยังแพ้นาง

                     นี่อย่าวางเม็ดเหมือนคราวเป็นสาวเอย

สำหรับสักรวาบทนี้ คุณพุ่มโต้ไว้ว่า

สักรวาอุณากรรณเทวัญแปลง

                     แอบนั่งแฝงมู่ลี่ทำทีเก้อ

                   ไก่ปันหยีตีแพ้ชะแง้ชะเง้อ

                    คนร้องเออเสียงอึงตะลึงแล

                   ไก่เป็นรองร้องว่าเรื่องท่าพระ

                   พูดเกะกะว่ากล่าวความเก่าแก่

                  ว่าไปแย่งดาบฝรั่งที่หลังแพ

                   พูดให้แน่นะปันหยีข้อนี้เอย ฯ

ที่ว่าคุณพุ่มเป็นสตรีที่เอาแต่ใจตนเองนั้น ก็เมื่อคุณพุ่มเบื่อหน่าย ไม่อยากเป็นบุษบาท่าเรือจ้าง จึงขอกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง เมื่อ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นหน้าคุณพุ่มครั้งแรกมิได้ตรัสว่ากระไร ต่อมาจึงมีพระราชนิพนธ์สร้อยกลอนบทหนึ่งซึ่งแฝงความนัยเกี่ยวกับคุณพุ่ม ความว่า

เจ้าช่อมะกอก         เจ้าดอกมะไฟ

เจ้าเห็นเขางาม             เจ้าตามเขาไป

เขาทำเจ้าขัน                เจ้ากลับมาไย

เขาสิ้นอาลัย                เจ้าแล้วหรือเอย ฯ

นอกจากบทสักรวาที่แต่งโต้ตอบเล่นกันซึ่งมักไม่ใคร่ปรากฏหลักฐาน เว้นเสียแต่เป็นบทที่คมคายหรือมีความหมายเป็นนัยทั้งเรื่องราว อื้อฉาวในสมัยนั้นก็จะมีผู้จดจำเล่าขานกันต่อมา หรือบางบทเล่นหน้า พระที่นั่งก็อาจมีบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ยังมีบทกวี คำอธิษฐานของคุณพุ่ม ๑๒ ข้อ เป็นบทกวีที่สะท้อนให้เห็นทั้งอุปนิสัยความคิดอ่านและ ปฏิภาณไหวพริบคารมคมคายในการมองคน เข้าใจที่จะนำอุปนิสัย หรือการกระทำพิเศษที่เด่นของแต่ละคนมาเปรียบเปรยด้วยอารมณ์ขัน เต็มไปด้วยความคึกคะนองและเก่งกล้า

คำอธิษฐาน ๑๒ ข้อของคุณพุ่มคือ

๑. ขออย่าให้เป็นคนชิดของเข้าคุณผู้ใหญ่ เจ้าคุณผู้ใหญ่ในที่นี้หมายถึงเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เพราะท่านเป็น คนดุและเด็ดขาด ชอบสั่งลงโทษด้วยวิธีเฆี่ยนหลังเป็นประจำ

๒. ขออย่าให้เป็นคนใช้ของเจ้าพระยานคร เจ้าพระยานคร ในที่นี้คือเจ้าพระยานคร(น้อย) เพราะท่านมีวิธีลงโทษแปลกๆ เช่น พายเรือช้า ท่านลงโทษให้ฝีพายถองเรือ เป็นต้น

๓. ขออย่าให้เป็นคนต้มน้ำร้อนของพระยาศรี หมายถึง พระยาศรีสหเทพ (เพ็ง) เพราะท่านมีแขกไปมาหาสู่ไม่ขาด คนต้มน้ำ ร้อนเลี้ยงแขกเหนื่อยไม่มีเวลาพักผ่อน

๔. ขออย่าให้เป็นมโหรีของพระยาโคราช มโหรีของพระยาโคราชมีแต่พวกข่า และลาวเชลย ท่านต้องการให้เล่นเก่งเท่าวงมโหรี ของขุนนางกรุงเทพฯ จึงเคี่ยวเข็ญฝึกซ้อมอย่างหนัก

๕. ขออย่าให้เป็นสวาดิของพระองค์ชุมสาย หมายถึง มหาดเล็กคนโปรดของกรมขุนราชสีหวิกรม ซึ่งเอาแต่พระทัยตนเอง ใครได้เป็นมหาดเล็กคนโปรดมักถูกทำโทษจำโซ่ตรวน

๖. ขออย่าให้เป็นฝีพายของเจ้าฟ้าอาภรณ์ เพราะฝีพายของ เจ้าฟ้าอาภรณ์จะต้องร้องขานยาวและร้องถี่กว่าฝีพายเรือลำอื่นๆ

๗. ขออย่าให้เป็นละครของแม่น้อยบ้า แม่น้อยบ้าหมายถึง ธิดาเจ้าพระยานครราชสีมา (ทองอิน) เพราะละครโรงนี้แม้คนว่าจ้าง ไม่มีเงิน ให้ค่าจ้างเป็นข้าวปลาอาหารก็รับเล่น

๘. ขออย่าให้รู้ชะตาเหมือนอาจารย์เซ่ง อาจารย์เซ่งเป็น หมอดูชอบทักทายโชคชะตาผู้คนว่าชะตาดีจะได้เป็นกษัตริย์บ้าง ขุนนางผู้ใหญ่บ้าง เป็นเศรษฐีบ้าง ผู้คนหลงเชื่อไปให้นายเซ่งทำนาย โชคชะตาจำนวนมาก ภายหลังถูกจับได้ว่าล่อลวง จึงถูกลงพระราชอาญา

๙. ขออย่าให้เป็นนักเลงอย่างท่านผู้หญิงฟัก ท่านผู้หญิงฟัก ชอบเล่นการพนัน มีกลวิธีเฉพาะตัว คือมักทำกิริยาให้นายบ่อนมัวหลงดู ที่ตัวท่านผู้หญิงฟัก เป็นช่องให้พรรคพวกโกงนายบ่อนได้

๑๐. ขออย่าให้เป็นสมปักของพระนายไวย พระนายไวย หมายถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ขณะนั้นยังเป็น ข้าราชการชั้นผู้น้อย เวลาเข้าเฝ้านุ่งผ้าสมปักพื้นเขียวอยู่ผืนเดียว

๑๑. ขออย่าให้เป็นดอกไม้ของเจ้าคุณวัง เจ้าคุณวังหมายถึง เจ้าจอมมารดาตานี ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช เป็นธิดาเจ้าพระยามหาเสนาฯ บุนนาค ท่านมีฝีมือในการ ร้อยดอกไม้เป็นเยี่ยม ข้าหลวงตำหนักของท่านจึงต้องร้อยดอกไม้ช่วยงานไม่ขาด จนดอกไม้ในสวนของเจ้าคุณวังไม่มีโอกาสที่จะบานกับต้น

๑๒. ขออย่าให้เป็นระฆังวัดบวรนิเวศ ปรกติระฆังวัดอื่นๆ จะตีวันละสองเวลา คือย่ำรุ่งและย่ำค่ำ แต่ระฆังที่วัดบวรนิเวศ ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอยู่นั้นใช้ตีเป็นสัญญาอาณัติสงฆ์อย่างอื่นอีก เช่นตีเรียกสงฆ์ลงโบสถ์เช้า ค่ำ เป็นต้น ระฆังวัดนี้ในสมัยนั้นจึงใช้งานมากกว่าระฆังวัดอื่นๆ

คุณพุ่มใช้ชีวิตในวัยสาวอย่างอิสระเสรีเต็มที่ ตอบโต้คารมกับชายหนุ่มที่เวียนมาโต้คารมประลองฝีปากมากหน้าหลายตา แต่ก็ไม่ ปรากฏว่าคุณพุ่มไต้ตกลงปลงใจรับรักชายใด ซึ่งก็น่าจะเป็นด้วย เหตุผลสามประการคือ ประการแรก คุณพุ่มอาจจะไม่เห็นความจำเป็นในการที่จะต้องมีครอบครัว ซึ่งจะทำให้หมดอิสระเสรีภาพในการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน อีกประการหนึ่ง ก็อาจเป็นไปได้ว่าเพราะ คุณพุ่มไม่มีคุณสมบัติของความเป็นกุลสตรีที่นิยมกันในสมัยนั้น ประการสุดท้ายก็คือ ผู้ชายอาจขยาดหวาดกลัวความเอาแต่ใจตัวเอง ปากจัดและไม่กลัวเกรงใครของคุณพุ่มก็เป็นได้ จึงไม่ปรากฏหลักฐานว่าคุณพุ่มได้เคยแต่งงานมีครอบครัว

เมื่อสิ้นบุญบิดาและเปลี่ยนรัชกาล ประกอบกับคุณพุ่มมีอายุมากขึ้นชีวิตของคุณพุ่มจึงไม่ดุเด็ดเผ็ดมันเหมือนเดิม

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงมีพระราชนิยมในเรื่องการกวี หันไปนิยมการเล่นปีพาทย์และละครใน วงสักรวาในสมัยนี้จึงค่อนข้างเงียบเหงา ชีวิตช่วงนี้ของคุณพุ่มจึงค่อนข้างเงียบเหงาและอัตคัด อยู่ในพระอุปการะของกรมหมื่นนเหศวรศิววิลาส และกรมหมื่นวิษณุนาถนิภาธร พระราชโอรสรุ่นใหญ่ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรื้อฟื้นการเล่นสักรวาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏวงสักรวาในพระอุป การะของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายในหลายวง คุณพุ่ม เริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อได้เป็นผู้บอกสักรวาวงในอุปการะของสมเด็จฯ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า ทูลกระหม่อมแก้ว

สมเด็จฯ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร หรือ ทุลกระหม่อมแก้ว
สมเด็จฯ กรมพระยาสุดารัตนราชประยูร หรือ ทุลกระหม่อมแก้ว

จากการผ่านชีวิตสุขทุกข์ร้อนหนาวมามาก บทสักรวาในระยะนี้ จึงสร่างชาความเผ็ดร้อนลง แต่ก็ยังคล่องแคล่วคมเฉียบเข้มข้นและลึกซึ้งอยู่ ดังจะเห็นได้จากสำนวนกลอนสักรวาหลายบทหลายตอนที่ท่านเป็นผู้บอก ในหัวเรื่องต่างๆ กันดังนี้

เรื่องพระอภัยมณี บอกสักรวาเป็นนางสุวรรณมาลี

        สักรวาพระธิดายุพาผิว

จึงกรีดนิ้วค่อยคำนับรับอักษร

คลี่กระดาษราชสารออกอ่านกลอน

นางแค้นค้อนเจียนกระดาษขาดกระเด็น

แล้วตัดภ้อขอสัตย์กลับนัดแนะ

แล้วเคาะแคะคดเคี้ยวขืนเคี่ยวเข็น

ตรงหนังสือถือจิตรคิดไม่เป็น

ไม่อยากเล่นเพลงยาวชื่อฉาว เอย ฯ

เรื่องคาวี บอกสักรวาเป็นนางคันธมาลี

    สักรวาฟังทักพยักหน้า

พอปะตาแสนงอนคมค้อนให้

ทำตาเฟื้องตาสลึงตาครึ่งไพ

แต่ค้อนใหญ่ค้อนน้อยกว่าร้อยพัน

ให้หวงหึงตึงตังกำลังโกรธ

ค้อนเป็นโบกในเสมาในตาฉัน

ค้อนให้คนล้มถลาสักห้าพัน

ค้อนให้หั่นเหยไปทีไล้ เอย ฯ

เรื่องเล่นหวย

                สักรวาชาววังนิ่งนั่งคิด

          ดูลิขิตอย่างเอกเมฆฉาย

         พอลมจันทร์นั่นเจริญเดินข้างซ้าย

         ใจก็หมายเอาตัวมอกับฟอไฟ

         จึงหยิบเงินในกลี่สิบสี่บาท

         ส่งให้ทาษทาษาหาช้าไม่

         เต็งตัวมอเต็มแรงแทงฟอไฟ

         บ่าวก็ไปให้เสมียนนั่นเขียน เอย ฯ

          นอกจากบทสักรวาแล้ว ยังมีเพลงยาวฉลองสระซึ่งคุณพุ่มน่าจะมีส่วนในการช่วยขุดสระนี้ที่บางโขมด หนทางขึ้นพระพุทธบาท คุณ พุ่มได้แต่งบทบวงสรวงฉลองสระบางโขมดไว้อย่างน่าฟัง ดังนี้

เพลงยาวคุณพุ่ม

บวงสรวงฉลองสระบางโขมด

   ♦ ยอกรประนมก้มเกษ                        อภิวันท์เทเวศร์ทุกสถาน

เสวยสุขในรุกขพิมาน                           ห้วยละหานชลธีที่ใกล้ไกล

ทั้งเทพาอารักษ์ศักดาฤทธิ์                   สิงสถิตย์โขดเขินเนินไศล

ตั้งแต่พื้นภูมานภาลัย                            อีกพระไพรเจ้าป่าพนาลี

ทุกพระองศ์จงรับส่วนกุศล                   ซึ่งมาฉลองมงคลสระศรี

ขออาศัยในทิวาและราตรี                      อย่าให้มีโรคันอันตราย

เชิญสดับดุริยางค์ที่ขับกล่อม               ประนมน้อมจุดธูปเทียนถวาย

แม้นผู้ใดบังอาจประมาทกาย                ทำหยาบคายเบาจิตรไม่คิดทัน

ให้ขุ่นเคืองเบื้องบาทเทวเรศ                 อย่าถือโทษโปรดเกษกระหม่อมฉัน

ช่วยปราบมารอย่าให้พาลมากีดกัน      สารพันไพรีอย่าบีทา

เชิญเสด็จมาสดับรับบวงสรวง               เอานามพุ่มแทนพวงทิพบุบผา

ด้วยจากแดนแสนกันดารดวงมาลา       ไม่ทันหาบายศรีพลีสังเวย

ส่วนกุศลต่างสุคนธรศรื่น                        อันหอมชื่นไม่สิ้นกลิ่นระเหย

ไมตรีจิตอุทิศแทนนมเนย                       บูชาเชยอารักษ์ด้วยภักดี

แล้วจะลาไปประณตพระบทเรศ             ขอพระเดชคุ้มภัยในวิถี

กับศีลทานเมตตาบารมี                          จงเป็นที่พึ่งทั่วทุกตัวไป

ขอฝากน้ำฝากนามตามอักขระ              ให้เรียกสระกระสัตรีวารีใส

ฤดูแล้งก็อย่าแห้งเช่นแห่งใด                  ถ้าใครได้วิดวักเหมือนตักเติม

ฉันสิ้นชนม์ชลสินธุ์อย่าสิ้นด้วย               เทพช่วยบริรักษ์บำรุงเฉลิม

ให้สะอาดเอี่ยมตามาตามเดิม                  จงพูนเพิ่มภิญโญโมทนา

ชลธารนี้เป็นทานทั่วพิภพ                        ให้อยู่ครบห้าพันพระวรรษา

แม้นชีวายังไม่บรรลัยลา                         จะกลับมาชมอีกให้อิ่มเอย ฯ

ในช่วงสุดท้ายของชีวิตคุณพุ่มอยู่ในอุปการะของสมเด็จฯ กรม พระยาสุดารัตนราชประยูร จนสิ้นชีวิตเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน

แม้คุณพุ่มจะมิได้มีทายาทสืบสายศิลปินโดยตรง แต่สายเลือดที่เกี่ยวเนื่องกับคุณพุ่มโดยสืบสายมาจากพระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) นั้นยังได้สำแดงความเป็นศิลปินปรากฏให้เห็นแม้ ในปัจจุบันจากทายาทในสายสกุล “ภมรมนตรี”